ทำก็มาก แต่ทำไมเงินไม่เข้า
ปัญหายอดฮิตของคนทำงานครับ ทำงานเต็มที่เต็มกำลังแต่เหมือนไม่ได้ผลตอบแทนเท่าที่ควร มองไปที่คนอื่นทำไมเหมือนจะทำน้อยกว่าแต่ทำไมได้ผลตอบแทนเท่ากันหรือบางทีมากกว่าด้วยซ้ำ
ไล่ไปตั้งแต่กรณีดีที่สุดถึงแย่ที่สุด
Best Case – คุณกำลังอยู่ในช่วงของการก่อตั้งหรือริเริ่มโปรเจคอะไรบางอย่าง คือลูกค้ามารึเปล่าไม่รู้ แต่ overhead Costหรือค่าใช้จ่ายล่วงหน้ามารอเรียบร้อย ในจังหวะของธุรกิจแบบนี้อย่าเพิ่งไปหวังกำไร ในจุดแรกเริ่มของการทำธุรกิจคือ”ทำให้มันเกิดก่อน”เพราะฉะนั้นใน Phrase การใช้ชีวิตแบบนี้เวลาท้อให้กลับไปถามตัวเองว่า เราอยากให้มันเกิดจริงมั้ย เพราะอะไร มาทบทวนกันใหม่เรายอมเจ็บยอมทนกับมันเพราะอะไรเรื่องเงินหรือเรื่องคุณค่าหรือความอยากทำส่วนตัวหรือแค่เพื่อนชวนแล้วเฮกันช่วงแรกๆ……..เอาให้ชัดครับ
Medium Case –ในบางธุรกิจ เงินจะวิ่งตามมาหลังชื่อเสียง หลังเป็นที่รู้จัก หลังเริ่มมีเครดิตในสังคม ภาษาคนทำงานเรียก “กล่อง” ครับ มันคือการสร้างProfile ตัวเองก่อนด้วยการทำตัวเองให้เป็นที่รู้จัก และส่วนใหญ่งานสร้างกล่องให้เราน่าจะเป็นงานฟรีซะส่วนใหญ่ ในช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงที่คุณเริ่มมี product หรือ Serviceเป็นของตัวเองแล้วต้องออกไปเจอผุ้คนครับ งานพวกนี้คิดซะว่าเป็นเวที Presentตัวเองและหา Potential Customer ในอนาคต ในทุกธุรกิจต้อง Give Give Give ก่อน Take เสมอ ไม่ต้องน้อยใจไปครับคิดซะว่าเป็นสนามฝึกฝีมือ
Worst Case – คุณอาจอยู่ในสนามที่ผิด หรือในทีมที่ใช้งานคุณจนเพลินแล้วล่ะ Checklist อย่างนึงที่ชัดเจนเลยคือยิ่งทำงานเสร็จเร็วงานยิ่งเพิ่ม ยิ่งคุณ Productive เท่าไหร่ คุณจะได้รับงานในส่วนของคนอื่นมาทำแบบ Infinity หรือวิ่งชนโปรเจคอลังการงานสร้างเปิดบิลรายได้เข้าบริษัทหลักสิบล้าน แต่เงินเข้ามาถึงตัวเองจริงไม่ถึงหมื่นห้า !!
ถ้าเจอทรงนี้มานับแรมปีต้องรีบปรึกษาใครบางคนแล้วครับว่าจะเดินหน้าต่อหรือพอแค่นี้ แต่คิดแง่ดีที่สุดนะ อย่างน้อยต่อให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แย่ แต่มันก็หล่อมหลอมให้คุณเป็นคนรับผิดชอบไม่ทิ้งงาน ไม่เกี่ยงงาน และคนแบบนี้ไปที่ไหนคนก็อยากรับเข้าทำงานครับ
#คุณเป็นคนเก่งที่ยังอยู่ผิดที่แค่นั้นเอง
สู้ๆนะ อย่าท้อ
สักวันต้องเป็นของเราครับ
ทางแก้มันคือการทบทวนโครงสร้างรายได้ของเราอีกที อ่านต่อได้ที่บทความ
++++++++++++++++++++