” Price Volatility วันนี้ไม่แปลกเท่า Time Volatility ”

ผมมานั่งอ่านตลาดในช่วง 10 วันที่หายไปถือว่าราคาวิ่งในกรอบความเป็นไปได้ปกติ แต่”ระยะเวลา”ในการลงหรือขึ้นถึง TP ต้องยอมรับว่าผิดคาดไปเยอะครับ

ผม Bullish ทองมาพอสมควร แต่ไม่คิดเลยว่าเดือนสิงหาจะยิงขึ้นมาถึง 1500 แล้ว TFEX วิ่งในกรอบ 30-40 จุดเป็นเรื่องปกติแต่บ่อยครั้งกราฟเปลี่ยนจากขึ้นเป็นลงได้ใน 3-4 วัน จากปกติจะทำ pattern ด้วยเวลา 1-2 อาทิตย์

จุดอ่อนที่ผมให้พลาดในตลาดที่คาดการณ์ Time Volatility ผิดเพี้ยนไปมักจะเกิดสองเหตุการณ์

1. เก็บของได้ไม่ครบ เพราะฉะนั้นเวลาได้จะได้ไม่เต็ม position เท่าที่วางไว้

2. เวลาคัทลอสจะเฟลพอสมควรถ้ามันดีดกลับทันที

ข้อแรกถึงแม้จะกำไร แต่ถ้ามันผิดจากแผนที่วางไว้ มันทำให้เราต้องเอา Excess Cash ไปหมุนหาตัวใหม่เพือหาผลตอบแทนเพิ่มอยู่ดี เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่าได้กำไรก็ดีแล้ว ผมเลยไม่เห็นด้วยทั้งหมด เพราะการเข้าตัวใหม่มันก็คือ Risk ที่เพิ่มขึ้นในพอร์ทอยู่ดี พอได้ตังค์เเล้วเราหยุดที่ไหนล่ะ !! ส่วนข้อที่สองยังบรรเทาได้ด้วยการทยอยลดความเสี่ยงเพราะมันไม่มีใครบังคับให้เราปิดในไม้เดียวนิครับ…. คิดแบบคนซื้อมาขายไป ขาดทุนตัวนี้เอาตัวนั้นมาโปะ หมุน CF ให้มีเงินหมุนตลอเวลา ในทางการทำธุรกิจมันคือการประคองการเอาเงินสดมาตู๊ขาดทุนทางบัญชีไปก่อน

มานั่งมองตลาดจัดเป็นสองประเภทง่ายๆครับ

1. Surplus Liquidityหรือตลาดปาเป้า เอาอะไรก็ถูกหมด หน้าเทรดเราจะ Perform ผิดปกติจนเราเกิดอีโก้ว่าเฮ้ย!! ตลาดมันง่ายและเอาเงินมาคืนในวันที่ตลาดเป็น Dry Liquidity #ตลาดมันง่ายกับตลาดมันให้สองคำนี้ไม่เหมือนกันนะ

2. Dry Liquidity Market เป็นตลาดที่เงินมันไม่หมุนเหมือนเดิม การชิงไหวชิงพริบมันเลยเกิดเพราะมันต้องไปล้วงกระเป๋าตังค์คนข้างๆแทน

ลองนึกถึงสามตลาดไปด้วยกันครับ แล้วภาพจะง่าย หุ้น – Single Stock – S50 Future ในตลาดที่เงินมันล้น การทยอยเก็บ Future และ Single ก่อนเป็นเรื่องควรทำ  เพราะถ้า Liquidity มาแน่ๆ Leverage เป็นอาวุธที่เราต้องใช้ให้เป็น เอา 20% ทยอยเก็บบน Leverage Product ก่อนแล้วค่อยหุ้นลากขึ้นไปกำไรสองเด้ง พอมีไม้ใหญ่เปิดก็ไล่ขวากันปั๊กๆๆๆ โมเมนตัมมันก็มาหมดเป็นเรื่องปกติที่คาดการณ์ได้

พอเงินไม่หมุนเนี่ยครับ หุ้นเลยกลับกลายเป็นตัวแปรหลักในเกมส์ ความแตกต่างของหุ้นกับ Leverage product อื่นๆไม่ใช่เรื่องของความผันผวนหรือพื้นฐาน

#แต่เป็นเรื่องของจำนวนที่มันนับกันได้

ถ้ารายย่อยอยู่บนสมมติฐานที่ว่าฐานทุนน้อย+ชอบใช้ Leverage วิธีการล้วงเงินจากคนกลุ่มนื้คือการบังคับปิดหรือ Force sell ช่วงที่รายย่อยคงค้างสัญญาใน SSF ค่อนข้างมากและไม่มีหุ้นจริงเอามา Hedging เหมือนสถาบัน เพราะฉะนั้นถ้าสร้าง Extra Volatility เพื่อสะบัดกับฐานเงินที่น้อย ยังไงก็ต้องยอม …

#กฏข้อหนึ่งในสนามรบคือห้ามบอกว่าเราอยู่ตรงไหน
#แต่ก็ต้องรู้ให้ได้ว่าอีกฝ่ายถือไพ่อะไรอยู่

การนับจำนวนมันก็เกิด การซื้อหรือขายหุ้นที่หนักหน่วงของต่างชาติ เลยมักจะเกิดหลังการ Action บนสินค้า Leverage ก่อนเสมอ Short TFEX แล้วตามด้วยการเทขายหุ้น จนถึงระดับต้องเรียกเติมเงิน เลยเป็นเกมส์คลาสสิคที่สุดท้ายเเล้วจะเปิดด้วยการ Cover Short ที่เร็วและแรงเสมอเมื่อครบจำนวน และนี่คือสิ่งที่ผมเชื่อว่าเป็น Behind the scene ของ Wave 1 ใน Next Cycle

วันนี้เราอยู่ในต้นรอบขาลงหรือ Healthy Correction ผมเองก็ไม่ชัวร์ครับ

แต่ แต่ แต่ ..

สภาพการณ์วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีแนวโน้มไปทางการเกิด Surplus Liquidity มากกว่า ตั้งแต่ยุโรปมาจนถึงการหยุดการลดขนาดงบดุล การหยุดการลดขนาดงบดุลที่ทำให้ Big Money ที่สำรองไว้ออกมาโลดแล่นในยุทธจักรได้อีกครั้ง แค่ช่วงนี้มาโดนสกัดด้วยความไม่แน่นอนของมวยหลายคู่ อเมริกา-จีน , จีน – ฮ่องกง , ญี่ปุ่น – เกาหลี +++

เวลาตลาดเทต้องไปอ่าน Bond Yield 2 ปีครับมันไวสุด ยิ่งถ้าน้อยกว่า Fed Fund rate มากๆ มันสะท้อนการถดถอยยิ่งมาก ในทางกลับกันเวลาตลาดจะกลับต้องไปอ่าน Bull Steepening ใน 2-10 กลับไปอ่านฐานเงินใน M2 และทำไม Q3 ถึงเป็น Highlight ของ Macro ในภาพใหญ่ไว้มาต่อกันคราวหน้า

เราจะผ่านมันไปได้ด้วยกันครับ

++++++++++++++++++++