Margin of Safety
อย่างที่รู้ๆกันครับคำๆนี้ไม่ได้ใช้แค่ในวงการหุ้น แต่ในหลากหลายวงการใช้คำนี้เหมือนกันในมุมของการป้องกันความเสี่ยง
ยกตัวอย่างเวลาวิศวกรออกแบบสะพาน ถ้าคำนวณแล้วพบว่าเวลารถขึ้นมาอัดแน่นเต็มสะพานจะมีน้ำหนักรวม 1000 ตัน ทีมทำงานคงไม่ออกแบบสะพานที่รับน้ำหนักได้แค่ 1100 ตัน แต่จะออกแบบให้สะพานรับน้ำหนักได้ถึง 4000-5000 ตัน
“เผื่อเหลือเผื่อขาด”
ถือส่วนผสมหลักของความปลอดภัย
การเล่นเวสเองก็ตาม กล้ามเนื้อจะส่งสัญญาณความเจ็บปวดมาที่สมองก่อนที่จะเกิดการเจ็บปวดที่รุนแรง รวมไปถึงการยืดร่างกาย ที่เราจะยืดได้ถึงจุดที่เรียกว่า Stress Strain Curve ก่อนที่กล้ามเนื้อจะบาดเจ็บ
มันก็เป็นการสร้างMargin of Safety ตามกลไกธรรมชาติ กลับมาที่เรื่องการลงทุน คำนวณมูลค่าหุ้นได้เท่าไหร่ ขอราคาถูกกว่านั้นอีก 30 % เพื่อกันพลาด หรือเล็งที่ดินผืนงามนั้นไว้ เเต่ถนนจะตัดมั้ยไม่รู้ ขอราคาถูกกว่าราคาตลาดไว้ก่อนเน้นกำไรตั้งแต่ตอนซื้อ
การเงินส่วนบุคคลก็เช่นกัน วันนี้เผื่อ Buffer ในเรื่องเงินไว้ใช้กี่เดือน ในกรณีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นเราจะเอาเงินตรงไหนมา Support
——————————————————-
เพราะ Risk Management ไม่ใช่เรื่องของการคิดเอง
แต่เป็นเรื่อง “ตัวเลข” ที่เราต้องวางกันจริงจัง
——————————————————–
เราไม่รู้เลยว่าFED ไถ่ถอนเงินออกจากตลาดเท่าไหร่ เราไม่รู้เลยว่าจีนจะเกิด Credit Crisis ปีหน้ารึเปล่า
เราไม่รู้เลยว่าราคา Bitcoinจะวิ่งขึ้นลงขนาดไหนสูตรที่ใช้คำนวณด้านการเงิน Sharpe Ratio , Sortino Ratio , VAR
ส่งสัญญานบอกเรา “เหมือนๆกัน” ว่าความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ประเมินให้ชัดได้ยาก เหมือนกับที่เราไม่รู้เลยว่าอะไรเกิดขึ้นพรุ่งนี้
สิ่งที่เราทำได้คือแค่การวางBuffer ให้มันครอบคลุมความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นให้มากที่สุด ทุบหม้อข้าวเเล้วลุย ที่รอดมาก็ยิ่งใหญ่
เเต่ทุบหม้อข้าวเเล้วไม่รอด ก็ไม่มีโอกาสได้พูดครับ
===============================
เรื่อง Margin of Safety ไม่ใช่เเค่เรื่องกราฟ
เเต่มันคือชีวิตทั้งชีวิตว่ามัน “ทน” Drawdown ได้ลึกเเค่ไหน
===============================
ผมเลยมีคำถามใหม่ ถ้าวันนี้เราสามารถหาเงินจากการเทรดต่อเดือนได้มากพอที่จะใช้เป็นปี เราจะวางเงินให้กับ “ชีวิต” แบบไหน เราจะซื้อรถดีๆสักคันให้สมกับที่พยายามมาทั้งปีก็ได้ เพราะถ้าคิดว่าหาเงินได้ มันต้องกล้าใข้เงินเช่นกัน เราจะออกเดินทางท่องเที่ยวทริปใหญ่ทุกๆสิ้นปีก็ได้เพราะการเดินทางมันคือการ Exploreชีวิตที่สุดยอด
เราจะวางเงินทั้งหมดในการลงทุนเพิ่มเติมก็ได้ เพราะพลังทบต้นทำให้เราสบายในอนาคตเเน่นอน หรือเราจะวาง Buffer ค่าใช้จ่ายตัวเองอีกหลายๆปี เพื่อ “ซื้อเวลา” ของชีวิตคืนมาก็ได้ ทุกวันนี้ผมวางเงินทุกๆ 20% ของกำไรเพื่อสร้าง”เบาะ”ให้ตัวเองในอนาคต
เบาะที่ทำให้เรา “หลังอุ่น” เพื่อการทำงานที่ดีขึ้น
เบาะที่ทำให้เรา “กล้าเล่น” กับความเสี่ยงมากขึ้น
เบาะที่ทำให้เรา “คิดไกล”ได้มากกว่าเดิม
จะดีแค่ไหนถ้าวันนี้เราสามารถมองตัวเองในอีก5 ปีข้างหน้า แล้วเริ่มลงมือทำตามฝันโดยไม่ต้องคิดเรื่องรายจ่ายรายเดือนรายปีมากวนใจให้ปวดหัว เเละจะดีแค่ไหนถ้าชีวิตที่มุ่งไปที่เส้นชัย โดยไม่ต้องก้มผูกเชือกรองเท้าตัวเองทุกๆ5 นาที
***Always leave room for the unexpected***
ชีวิตจะดีขึ้นได้…..แค่ “เผื่ออีกนิด”
++++++++++++++++++++