ถ้าตัด factor เรื่องบุญบาปออกไป
นี่คือเหตุผลที่คุณควรลองไปเข้าคลาสวิปัสสนาดูครับ ผมเเบ่งเป็น Mind กับ Body เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆ
เริ่มที่ส่วน Body ก่อนครับ(อ้างอิงจากการปฎิบัติที่ศูนย์ธรรมจันทปภา )
1. การถือศีล 8 ถือเป็นการเริ่มหัดทำ IF ไปในตัว มื้อเช้าเริ่มหกโมงครึ่ง มื้อสาย 11 โมง ตอนเย็นเรากินไดเเค่น้ำเพราะฉะน้นมันคือสภาวะที่เอื้อต่อการทำ 18/6 เเบบสุดๆ
2. อาหารที่เรากินเป็นอาหารเจทั้งหมด เพราะฉะนั้น 10 วันนี้มันเป็นการ Detox เเท้ๆเลย ร่างกายเราจะรับเเค่โปรตีนเกษตรเเละผักผลไม้เท่านั้น
3. อากาศที่จันทบุรีช่วงนี้ดีมากครับ สถานปฎิบัติที่ผมไปคือต้องขึ้นเขาไปหน่อย หมอกลงทุกเช้า ฝนตกปรอยๆเเทบทั้งวัน มันเป็นอากาศที่หาเเทบไม่ได้เลยในเมือง มันเป็นการฟอกปอดที่ดีที่สุดอย่างนึงที่ผมสัมผัสได้เลย
4. เราจะได้พักตาเเละสมองเเบบ 100 % เพราะเค้าไม่ให้ใช้มือถือ ไม่ได้รับข่าวสารจากโลกภายนอก ตาเเละสมองเราจะได้รับการฟื้นฟูเเบบเต็มๆตลอดช่วงทั้งเวลาปฎิบัตินี้
5.ทั้งหมดทั้งปวงผมว่ามันคือการพักผ่อนที่เเท้จริงนะ มันต่างกับการไปเที่ยวต่างประเทศที่บางทีกลับมาเเล้วมันล้าไปทั้งตัว เเต่การไปวิปัสสนา ไม่สิ !! เรียกว่ามันเป็นคอร์สการฟื้นฟูกายใจจะเห็นภาพชัดกว่า มันเป็นการที่เราไม่ Reform พลังงานในตัวใหม่ เพื่อให้เราพร้อมวิ่งต่ออีกครึ่งปีหลังโดยไม่หลุดโฟกัสอีกเลย
คราวนี้มาถึง part สำคัญกับเรื่องของ “ใจ”
ทำไมองค์กรระดับโลกเเบบ Google ถึงจัดคล่านั่งสมาธิให้พนักงานทุกวัน ทำไม Ray Dalio ถือย้ำนักย้ำหนากับการทำ Daily Meditation โลกทุกวันนี้มันวุ่นวายสุดๆจริง เสพคอนเทนต์เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ เอาจริงๆ….คุณก็รู้ว่ามันไม่เคยพอ คือเราต้องอยู่ใน Mode Switch on พร้อมเรียนรู้ตลอด 24 ชั่วโมง ต้อง Disrupt ตัวเองตลอดเวลา
วินัยเเละเป้าหมายที่มั่นคงเท่านั้นที่จะพาเราก้าวไปข้างหน้า !!
ถ้าวันนี้คุณเป็นผีเสื้อ เเต่อยากบินระดับเดียวกับอินทรี มันก็ต้องทำตัวเเบบนึง
ถ้าวันนี้คุณเป็นอินทรี เเต่อยากบินระดับเดียวกับเครื่องบิน มันต้องมีเเรงดีดมหาศาลเพื่อให้ตัวเองทะลุเเรงต้านให้ได้
” In Different Level , Demand Different YOU “
ผมเชื่อว่าอ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนเห็นด้วยกับผมเเหละ นี่ก็เป็นสิ่งผมเชื่อมั่นอย่างมาก เเละใช้เป็นเเนวทางในการทำงานมาตลอด เเต่อย่างนึงที่ผมเจอเมื่อ 5-6 ปีที่เเล้วก่อนเริ่มเข้าวิปัสสนา ตอนเร่ง productivity ให้มันทะลุเเนวต้าน “คือผม Switch off ไม่เป็น” นอนไม่หลับ-เครียดง่าย-กังวลถึงอนาคตตลอดเวลา เเละบางทีพาลไประบายกับคนข้างๆจนเสียความสัมพันธ์ คือ Trade-off ที่หนักหน่วงกับความก้าวหน้าทางการงานเเละการเงิน
วิธีการระบายตอนนั้น ??
เที่ยว, ออกกำลัง, ซื้อของ ช่วยได้ครับ ดีมากด้วย เเต่มันเป็น Short-Term Solution หมดเลย เเละอีกไม่เกิน 1 อาทิตย์คุณจะกลับมาวนลูปเดิม เพราะต้นเหตุยังไม่ได้รับการเเก้ไข
การวิ่งหรือเล่นเวท มันคือการปรับประจุไฟฟ้าในสมอง สมองส่วนกลางที่เรียกว่า Limbic System คือสมองของการเอาตัวรอด เวลาเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมาสมองจะสร้างประจุลบตีความตามอารมณ์ที่เกิดขึัน
ถ้าเราไม่เคยเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการอารมณ์ เราก็จะส่งต่อประจุลบนั้นด้วยการ “ระบาย” ด่าทอ ทุบโต๊ะ ปิดประตูดังๆ อะไรก็ได้ที่ระบายพลังงานลบนั้นออก การวิ่งเลยเป็นหนึ่งใน Creative way ในการระบายประจุลบจาก Limbic ไปที่ก้านสมองเเละจากก้านสมองส่งสัญญานไปที่ฝ่าเท้า
เวลาเหงื่อออกมากๆเราเลยจะสดชื่นขึ้นพักนึง เพราะสมองส่วน Limbic ได้ปรับจากลบเป็น Neutral สมองส่วนหน้าที่ไว้ใช้ทำงานหรือ Prefrontal Cortex เลยเปิดขึ้น เราก็คิดเเก้ปัญหาออกได้
เเต่ถ้ากลับมาคิดลบอีก พลังงานลบจะออกมาอีก จะให้วิ่งอีก 10 โลไม่ไหว มันก็จะวนลูปเดิม โหดกว่านั้นคือบางคนเอา”เหล้า”แก้ปัญหาประจุลบในสมอง ถ้าคิดลบนัก เอาให้แม่งดับพรึ่บทั้งสมอง คนกินเหล้าตื่นมาเลยทุกข์กว่าเดิม
เพราะคุณดันไปโกงความรู้สีกตัวเอง
พระพุทธเจ้าท่านเข้าใจกฎแห่งธรรมชาตินี้ เลยแนะนำเครื่องมือการแก้ปัญหาที่เป็นสากลที่สุด เครื่องมือนั้นเรียกว่า
“ลมหายใจ”
เมื่อเกิดประจุลบ จากความเครียด ความกังวลอะไรก็ตาม ท่านสอนให้กลับมาดูที่กาย มาดูที่ลมหายใจ
#เปลี่ยนจากความคิดเป็นความรู้สึก
และเมื่อ Limbic ไม่จมกับความคิด ประจุลบถุกส่งไปก้านสมองเพื่อโฟกัสที่ธรรมชาติของร่างกาย ยืน เดิน นั่ง นอน กิน หายใจ รู้ไปซื่อๆไม่ต้องคิดมาก
Prefrontal Cortex เลยเปิดออกเช่นกัน เเละหลักการเปิดสมองให้โล่งเพื่อแก้ปัญหาแบบนี้แปลเป็นภาษาง่ายๆทางธรรมว่า
“สติ”
เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดปัญหา ท่านจึงให้เราหยุดความคิดมาที่ปัจจุบัน แล้วกลับมาที่ความรู้สึก ” Here and now ” เเละนี่หลักการ Switch Off ที่หาได้ใกล้ตัวที่สุด
สิบวันที่นี่เลยสอนให้ผมรู้ในทุกปีว่า
#ลมหายใจในปัจจุบันมันสำคัญเเค่ไหน
บันทึกการเข้ารับอบรมวิปัสสนาครั้งที่ 4
ตามรอยท่านโกเอนก้า ที่ศูนย์ปฎิบัติธรรมจันทปภา
ขอให้ทุกท่านได้พบธรรมมะในเร็ววันครับ
++++++++++++++++++++