Semi Final-Multiply-by-PEG

1. Ant Group คือหนึ่งในธุรกิจภายใต้อาณาจักร Alibaba ของ Jack Ma ซึ่งประกอบธุรกิจ Mobile Payment หรือที่เราอาจรู้จักกันดีในนาม Alipay

2. Alipay มีผู้ใช้หลักพันล้านคนต่อปี เเละมี Active Users สูงถึง 710 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งการเติบโตของ Digital Payment ผ่าน Alipay เติบโตต่อเนื่องทุกปี

3. พอร์ทธุรกิจของ Ant Group เป็นเหมือน Financial Super Market เเบ่งเป็นสามสายหลักคือ Investment Tech , Credit Tech , Insurance Tech โดยมีตั้งเเต่บริการชำระค่าสินค้าเเละบริการ จนไปถึงการกู้ยืมเงินเเบบ P2P Lending ผ่าน Credit Score เเละมีพาร์ทเนอร์เป็นสถาบันการเงินกว่าสองพันเเห่ง

4. CNBC รายงานว่ามีการประเมินมูลค่ากิจการของ Ant Group สูงถึง 250,000 ล้านเหรียญหลังเข้าตลาด ซึ่งในอนาคตอาจจะมีมูลค่าตลาดใหญ่กว่าสถาบันการเงิน 3 อันดับเเรกของสหรัฐซะอีก

-JP Morgan (JPM) ราคาหุ้น 94 เหรียญ มูลค่าตลาด 284,000 ล้านเหรียญ
-Bank of America (BAC)ราคาหุ้น 23.4 เหรียญ มูลค่าตลาด 203,000 ล้านเหรียญ
-Wells Fargo (WFC)ราคาหุ้น 23.6 เหรียญ มูลค่าตลาด 97,000 ล้านเหรียญ

5. ในขณะที่ Market Insider รายงานว่าหาก Ant Group เข้ามาระดมทุนได้ถึงระดับ 35,000 ล้านเหรียญ จะเป็น IPO ที่ใหญ่ที่สุด

ลองมาดูประวัติศาสตร์กันมูลค่าการ IPO กันหน่อย

1. SAUDI ARAMCO 25.5 Billions USD
2. ALIBABA 21.8 Billions USD
3. SOFTBANK 21.3 Billions USD

ซึ่งหาก IPO ของ ANT Group เเตะที่ระดับ 30-35 Billions USD ได้จริงจะพลิกหน้าประวัติศาสตร์วงการ IPO เลยทีเดียว

หุ้น IPO ของ Ant Group ถือว่าเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากรายได้เเละการใช้จ่ายต่อหัวของประชากรชาวจีนเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญพร้อมๆกับการ เติบโตในด้านการใช้งานของผู้ใช้อินเตอร์เนท


ที่น่าสนใจอีกเรื่องคืออาลีบาบาถือหุ้นใน Ant Group 33 %


ปัจจุบันราคาหุ้น BABA อยู่ที่ 270 เหรียญ โดยให้ผลตอบเเทนย้อนหลัง 1 ปีย้อนหลัง 54 % เเละ 5 ปีย้อนหลัง 360 %

JACK MA จะกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่เท่าไหร่เป็นเรื่องที่น่าติตตามมากหลัง Ant Group เข้า IPO ในเดือนตุลานี้เเล้วครับ

(Source)

https://www.cnbc.com/…/alibaba-ant-group-ipo-hong-kong…https://markets.businessinsider.com/…/ipo-jack-ma-ant…#

++++++++++++++++++++


เป้าหมายราคาทองของใครเเต่ละคนสุดเเล้วเเต่ “จินตนาการ” เเต่ต่อให้ราคาทองในระยะสั้นจะผันผวนเเค่ไหนก็ตาม ถ้าเอา “ความเป็นจริง”มาคุยกัน เราจะเห็นภาพใหญ่ที่ชัดเจน

สิ่งที่จะดันให้ราคาทองให้วิ่งขึ้นอย่างรุนเเรงในเชิงพื้นฐานจริงๆมีสามเรื่องครับ

ดอลล่าร์ ดอกเบี้ย เเละ ความวิตกกังวล

…………………………………………………………………………………

มาว่ากันทีละเรื่อง

1. ดอลล่าร์
ว่ากันด้วยหลัก Demand- Supply เเบบไม่ต้องคิดเยอะ อะไรก็ตามที่ Supply มากขึ้นผิดปกติ เเต่ Demand ยังคงที่เท่าเดิม จะส่งผลให้ราคาลดลง

เปรียบเทียบให้เห็น Supply ของดอลล่าร์ที่บวมขึ้นจากนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ย่อมส่งผลให้ราคาหรือมูลค่าของดอลล่าร์ลดลง ซึ่งก็คือการอ่อนค่าของดอลล่าร์

เเละการอ่อนค่าของดอลล่าร์ พูดในอีกเเง่คือการที่เราต้องใช้ดอลล่าร์มากขึ้นในการซื้อทอง 1 Unit สะท้อนมาที่ราคาทองคำเเพงขึ้นนั่นเอง

ที่สำคัญคือไม่ใช่เเค่ FED เเต่ธนาคารกลางสำคัญๆทั่วโลกอย่าง ECB เเละ BOJ ก็ดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินอย่างเข้มข้นไม่เเพ้กัน เห็นได้ปริมาณงบดุลของธนาคารกลางทั่วโลกสูงขึ้นในอัตราเร่งเดียวกัน

เเละนี่คือที่มาของราคาทองคำที่พุ่งขึ้นในทุกสกุลเงินหลักทั่วโลก (Currency Debasement )

…………………………………………………………………………………

2. ดอกเบี้ย
สมการสำคัญของราคาทองคำที่ต้องจำครับ
Real Yield = Nominal Yield – Inflation ผลตอบเเทนที่เเท้จริง = ผลตอบเเทนทั่วไป ลบด้วย เงินเฟ้อ

ถ้าเราได้ปันผลปีละ 2 % เเล้วเงินเฟ้อ 1 % เท่ากับว่า Real Yield ปีนั้นเราได้ 1 %
ถ้าเราได้ปันผลปีละ 2 % เเต่เจอเงินเฟ้อ 3 %เท่ากับว่า Real Yield ปีนั้นเราติดลบ 1 %

อย่างหลังนี่คือขาดทุนนะครับ

เนื่องจากทองคำไม่มีปันผลเเละเป็นสินค้าที่เล่นกับส่วนต่างราคาล้วนๆ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดสภาวะดอกเบี้ยต่ำจนถึงติดลบ
จะเป็นสภาวะที่เอื้อกับราคาทองคำมาก

…………………………………………………………………………………

3. ความวิตกกังวล
ความวิตกกังวลในที่นี้ไม่ใช่เเค่เรื่องของความกลัวสงคราม ความกลัวตลาดหุ้นตก เเต่มันคือความกลัวเเละวิตกกังวลในมูลค่าของสินทรัพย์มีอยู่ในมือ


ทองคำไม่จำเป็นต้องมีการรับรองจากรัฐบาลไหนว่ามีมูลค่า เเละทองคำมีมูลค่าในตัวของมันเอง


รายย่อยไม่เท่าไหร่ครับ เเต่สถาบันหรือกองทุนที่ถือเงินปริมาณมหาศาลมันเเทบจะบีบให้ต้องซื้อทองคำเพื่อประกันความเสี่ยง
( Hedging ) กับทั้งค่าเงินเเละสินทรัพย์อื่นๆเช่นพันธบัตร

ถ้าพันธบัตรซึ่งว่ากันว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยถูกประกันด้วยรัฐบาลที่ฐานะการคลังขาดดุลต่อเนื่องอีกทั้งเป็นหนี้รวมเเล้วกว่า 26 ล้านล้านเหรียญเเละกำลังจะสูงกว่าปริมาณหนี้ที่ก่อในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง คงบอกว่าเป็น Safe Haven ได้ไม่เต็มปาก


Should Buy กับ Must Buy
มันเลยให้ความรู้สึกคนละเรื่อง
มองให้ลึกลงไปอีกหน่อย..


ในมุมรายย่อยเเละสถาบันยังอาจเป็นเเค่ในเรื่องของ”ผลตอบเเทน” เเต่หากมองระดับประเทศ การรักษากำลังซื้อเเละมูลค่าของสินรัพย์ในประเทศมันสะท้อนถึงระดับ”ความมั่นคง”

ซึ่งเป็นที่มาว่าทำไมจีนเเละรัสเซียถึงมีการซื้อทองคำเเท่งเก็บเข้ามาเป็นทุนสำรองมากขึ้น

…………………………………………………………………………………

เพราะฉะนั้นจากนี้ไปถ้ายังมีคำถามว่าทองยังจะขึ้นต่อรึเปล่าก็ให้ย้อนกลับมาดูที่สามปัจจัยที่ว่ามาข้างต้น

1. ดอลล่าร์เเละสกุลเงินอื่นๆยังมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหรือไม่
2. ดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ใกล้ศูนย์เเละยังไม่มีนโยบายขึ้นดอกเบี้ยใช่หรือไม่
3. Sentiment เหตุการณ์ทั่วโลกยังคงตึงเครียด เเละตัวเลขเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นจนความไม่เเน่นอนเเละความวิตกกังวลยังคงปกคลุมอยู่ใช่หรือไม่

ถ้ายังตอบว่าใช่ทั้งสามข้อไม่เปลี่ยนเเปลง

เราจะสามารถถือทองคำได้ในระยะยาวโดย “ไม่กลัว” ครับ

++++++++++++++++++++


เข้าใจบริบทของ “หนี้” ในภาพเศรษฐกิจโลก

1. หนี้อยู่ฝั่งขวาของงบดุล ส่วนสินทรัพย์อยู่ฝั่งซ้าย ถ้าหนี้ด้อยค่ามากๆอาจจะลากมูลค่าสินทรัพย์ลงไปด้วย 

2. การก่อหนี้คือการเพิ่มการใช้จ่ายในปัจจุบันเเละลดความสามารถการใช้จ่ายในอนาคต

3. Debt Cycle จะจบสวยก็ต่อเมื่อมีรายได้มาคืนหนี้ 

4. หรือไม่ก็กู้หนี้ใหม่มาใช้หนี้เก่า ซึ่งโลกกำลังรันบนระบบ

5. เครดิตในการกู้จีงสำคัญกว่าปริมาณที่เราก่อ

6. Debt to GDP เท่าไหร่ไม่สำคัญเลยถ้าประเทศนั้นมีเครดิตดีมากๆ

7. หน้าที่หลักของรัฐบาลคือการสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อให้มีเครดิตที่ดีในการเข้าถึงการกู้ต้นทุนต่ำตลอดกาล 

8. Compound interest มีอำนาจสูงสุดในการเพิ่มผลตอบเเทน กลับกันการเป็นลูกหนี้ย่อมมีโดนดอกเบี้ยทำลายล้างสูงเช่นกัน

9. โลกกำลังฝากความหวังการเเก้หนี้ด้วยเทคโนโลยี เพราะด้วยกำลังมนุษย์เเละโครงสร้างประชากรในปัจจุบันไม่สามารถคืนหนี้ในระดับ ปัจจุบันได้เเล้ว (Point of no Return)

10. Game Changer ตัวที่สองคือการเเก้กฏหมายให้ FED สามารถยิงเงินตรงเข้าไปในระบบได้โดยตรงเพื่อเพิ่ม Velocity ของเงินใน Primary Market

11. “หนี้ต้องมีคนชดใช้เเต่ไม่ใช่วันนี้” คือที่มาของนโยบายการเงินเเบบ MMT 

++++++++++++++++++++


Billionaire Mindset


We fall
We fail
We cry


But Then,
We stand
We fight
We win

หนังสือตีราคาหุ้น

8 กลุ่มธุรกิจใกล้ตัว

การจะซื้อหุ้นให้ได้กำไรนั้น ต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งว่า หุ้นที่จะซื้อนั้นอยู่ในกลุ่มธุรกิจอะไร และปัจจัยใดบ้างที่มีผลกระทบต่อธุรกิจนั้น

About Me

Punyawe Chantarakajorn

Full time trader ประสบการณ์ 10 ปีที่เจ็บหนักจากวิกฤต subprime ปี 2009 ปัจจุบันเป็นทั้งผู้จัดการกองทุน private fund เเละวิทยากรสอนด้านการเงินการลงทุนในสถาบันหลายเเห่ง
2019 - Present
หนังสือ Best Seller 2 เล่ม | Event talk show
2017
Top rank Skillane online course
2015
The master coach in Super trader Thailand
2013
วิทยากรด้านการลงทุนกลุ่ม stock2morrow

Stay in the know !

[mc4wp_form id="2531"]